ข่าวด่วน ทันเหตุการณ์ เศรษฐกิจ การลงทุน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ไอที-เทคโนฯ รถยนต์ ท่องเที่ยว ต่างประเทศ รวดเร็วสดใหม่ทุกวัน
TURBO เปิดเทรดวันแรก 2.30 บาท เพิ่มขึ้น 53.33% 0.80 บาท จากราคา IPO ที่ 1.50 บาท
บมจ.เงินเทอร์โบ TURBO เปิดเทรดวันแรก 2.30 บาท เพิ่มขึ้น 53.33% 0.80 บาท จากราคา IPO ที่ 1.50 บาท ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้น IPO หลังนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยตอบรับการจองซื้อหุ้นอย่างล้นหลาม ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตและการทำกำไร เตรียมนำเงินที่ได้มุ่งขยายธุรกิจ พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินและบริการใหม่ๆ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ และสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย สุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เงินเทอร์โบ ร่วมพิธีเปิดการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ บมจ. เงินเทอร์โบ ผู้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 30 กันยายน 2568 ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,005 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า TURBO
TURBO ก่อตั้งในปี 60 โดยนายสุธัช เรืองสุทธิภาพ และครอบครัวตั้งมิตรประชา (ผู้ถือหุ้นใหญ่ DOHOME) เพื่อประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถ โฉนดที่ดิน เป็นประกัน และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ TURBO มุ่งเน้นกลยุทธ์ที่แตกต่างผ่านการให้บริการที่รวดเร็ว สะดวก ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง อันนามาซึ่งการบอกต่อของลูกค้า การออกแบบกระบวนการธุรกิจและการเก็บข้อมูลเชิงลึกอย่างครบถ้วน เมื่อรวมกับการสร้างการรับรู้แบรนต์และการขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ TURBO จึงใช้เวลาไม่นานในการทำให้สินเชื่อเติบโตรวดเร็ว
สุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (มหาชน) TURBO เปิดเผยว่า บริษัทฯขอขอบคุณที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยอย่างล้นหลาม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตและการทำกำไรที่โดดเด่น ซึ่งจะช่วยผลักดันให้บริษัทฯ ก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยชั้นนำของประเทศ นำเงินไปใช้ขยายธุรกิจให้บริการทางการเงินของกลุ่มบริษัทฯ โดยจะขยายสาขาเพิ่มจาก 996 แห่งใน 54 จังหวัด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568
พร้อมทั้งรองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า เช่น การเพิ่มประเภทหลักประกันสำหรับสินเชื่อ การเพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์ประกัน และการเพิ่มจำนวนคู่ค้าบริษัทประกัน เป็นต้น โดยส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์
“นับเป็นก้าวสำคัญของ TURBO ในการมุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยชั้นนำของประเทศไทย เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับฐานราก สนับสนุนให้คนไทยโดยเฉพาะกลุ่มรายย่อยที่มีความต้องการสินเชื่อแต่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ให้ก้าวต่อไปได้”
ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาของการดำเนินธุรกิจ TURBO สามารถให้บริการทางการเงินที่รวดเร็ว สะดวก ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และสร้างประสบการณ์การเข้ารับบริการที่ดีให้แก่ลูกค้า ส่งผลให้พอร์ตโฟลิโอสินเชื่อเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 3,282.0 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็น 11,262.9 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 31.5% ต่อปี ซึ่งตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของผู้รับบริการสินเชื่อที่มีต่อเงินเทอร์โบ นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนองค์กรในทุกขั้นตอน จึงทำให้ควบคุมความเสี่ยงได้ดี โดยมีอัตราส่วนรายได้รวมหักค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อลูกหนี้เงินให้กู้ยืมสุทธิเฉลี่ยที่ 21.8% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกัน

TURBO รุกต่อยอดการเติบโตหลังเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมขยายพอร์ตสินเชื่อ เพิ่มจำนวนสาขาและพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ มุ่งสู่ผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยชั้นนำระดับประเทศ
‘บมจ.เงินเทอร์โบ’ TURBO ผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อย เดินหน้าต่อยอดการเติบโตหลังเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชูพอร์ตโฟลิโอสินเชื่อเติบโตแบบก้าวกระโดดผ่านทุกสภาวะเศรษฐกิจ และความสามารถทำกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม วางเป้าหมายขยายสาขาเป็นไม่น้อยกว่า 1,457 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2572 ควบคู่กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินและบริการใหม่ๆ ยกระดับพอร์ตสินเชื่อรวมเติบโตต่อเนื่อง มุ่งสู่ผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยชั้นนำระดับประเทศ
นายสุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (มหาชน) TURBO เปิดเผยว่า ได้นำหุ้น บมจ.เงินเทอร์โบเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก (30 กันยายน 2568) ในหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อย่อ TURBO ในการซื้อขายหลักทรัพย์ หลังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 537 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 1.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยอย่างล้นหลาม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจและศักยภาพการเติบโต ซึ่งจะสนับสนุนให้ TURBO เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนภายหลังจากเข้าเทรด
ทั้งนี้ ภายหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ TURBO ได้วางแผนต่อยอดความสำเร็จ เพื่อก้าวสู่ผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยชั้นนำระดับประเทศ สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผ่านกลยุทธ์ที่สำคัญ ได้แก่ 1) มุ่งสร้างแบรนด์เพื่อเป็นอันดับ 1 ในใจลูกค้าโดยเน้นความรวดเร็ว สะดวกสบายและคุณภาพการให้บริการ เพื่อรักษาความประทับใจและการบอกต่อของลูกค้าให้อยู่ในระดับสูงโดยตลอด 2) พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดย TURBO ยังคงกลยุทธ์ในการมีทีมเทคโนโลยีเป็นของตนเอง เพื่อให้สามารถสร้างระบบเทคโนโลยีที่มีความเฉพาะและยืดหยุ่นเหมาะสมกับองค์กรได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกๆ กระบวนการ 3) เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ผ่านการขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าขยายสาขาเป็นไม่น้อยกว่า 1,475 สาขา ภายในปี 2572 รวมถึงพัฒนาช่องทางการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินของกลุ่มบริษัทฯ ให้ครอบคลุม ครบถ้วน และ 4) พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เหมาะกับความต้องการของลูกค้าที่มีความแตกต่างกัน เช่น การเพิ่มประเภทหลักประกันสำหรับสินเชื่อ เพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์ประกัน เพิ่มจำนวนคู่ค้าบริษัทประกัน เป็นต้น
“ผมเชื่อมั่นว่าหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ TURBO จะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง รวมถึงสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน โดยอาศัยการให้บริการทางการเงินที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทำให้ลูกค้าพึงพอใจและเกิดการบอกต่อ รวมถึงการใช้ระบบเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะ ซึ่งจะช่วยให้ TURBO สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว รักษาต้นทุนในการดำเนินงานให้ต่ำในระยะยาว” นายสุธัชกล่าว
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566-2567 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,430.7 ล้านบาท และ 3,033.2 ล้านบาทตามลำดับ เพิ่มขึ้น 24.8% โดยมีกำไรสุทธิ 131.7 ล้านบาท และ 141.6 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 7.5%
สำหรับงวด 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ปี 2568 มีรายได้รวม 1,517.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7% และมีกำไรสุทธิ 235.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 285.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin) ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 19.8% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกัน¹ที่ 15.1% นอกจากนี้ ยังมีอัตรารายได้รวมหลังจากหักค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อลูกหนี้เงินให้กู้ยืมสุทธิเฉลี่ย 21.8% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกัน¹ที่ 18.0%
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และตัวแทนธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า TURBO มีศักยภาพการเติบโตสูงจากภาพรวมตลาดสินเชื่อรายย่อยที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นจาก 2.2 แสนล้านบาทในปี 2561 เป็น 6.3 แสนล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 18.6% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าภาพรวมสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของธนาคารพาณิชย์ในช่วงเดียวกันที่เติบโตจาก 1.7 แสนล้านบาท เป็น 2.2 แสนล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ย 4.5% ต่อปี
สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการสินเชื่อรายย่อยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางถึงระดับต่ำ ที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ได้ หรือเข้าถึงได้แต่ไม่ครอบคลุม ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ และจากปัจจัยบวกของภาพรวมอุตสาหกรรม ที่ส่งเสริมให้ TURBO มีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมของรายได้ดอกเบี้ยซึ่งเป็นธุรกิจหลัก 40.8 % ต่อปีนับจากปี 2565 ถึงปี 2567 ตลอดจนรายได้ค่านายหน้าประกันภัยและนายหน้าประกันชีวิตของกลุ่มบริษัทฯ ที่เติบโตเฉลี่ย 54.3% ต่อปีนับจากปี 2563 ถึงปี 2567 จึงเชื่อมั่นว่าด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตที่ดีในระยะยาว TURBO จะเป็นหนึ่งในหุ้นคุณภาพในตลาดทุนไทย
นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า มั่นใจว่า TURBO จะเป็นหุ้น Growth Stock ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน ด้วยจุดเด่นการบริการที่สะดวกรวดเร็ว เข้าใจลูกค้า รวมถึงทีมงานที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงินและเทคโนโลยีดิจิทัล และใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนองค์กรในทุกขั้นตอน เพื่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ จนเกิดความประทับใจและทำให้เกิดการบอกต่อในกลุ่มลูกค้าสูงถึง 20.7% ส่งผลให้พอร์ตสินเชื่อเติบโตแบบก้าวกระโดดเฉลี่ย 31.5% ต่อปีระหว่างปี 2563 ถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2568 อีกทั้งยังมีโอกาสขยายพอร์ตสินเชื่อจากการเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีอายุสาขาเฉลี่ยเพียง 4.1 ปี
หมายเหตุ: ¹กลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 5 ราย
สงวนลิขสิทธิ์ © 2557 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด